Vespa คืออัตลักษณ์เชิงงานรังสรรค์ในแบบฉบับของอิตาเลียน ที่ทั่วโลกต่างยอมรับและเป็นที่รู้จัก
ด้วยยอดขายกว่า 100,000 คันกว่าทั่วโลก
คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตที่เหลือเชื่อ จากเพียง 50,000 คัน ในปี 2004 เพิ่มเป็น 87,000 คัน
ในปี 2005 และกว่า 100,000 คัน ในปี 2006 ไล่มาจนถึงปัจจุบัน
ก่อตั้งที่เมืองเจนัว ในปี ค.ศ. 1884 โดย รินัลโด้ พิอาจิโอ ด้วยวัยยี่สิบปี ในฐานะบริษัทต่อเรือสำราญ
ก่อนจะขยายกิจการมาเป็นผลิตรางรถไฟ รถตู้ขนสินค้า รถโดยสารหรู เครื่องยนต์ เรื่อยไปจนถึงตัวถังรถบรรทุก
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ Piaggio มากมาย
เมื่อทางบริษัทหันมาจับการผลิตเครื่องบินประเภทต่างๆ
ปิอาจิโอ ได้ซื้อโรงงานใหม่ที่ ปิซ่า ตามด้วยโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งใน ปอนเตเดร่า ในอีกสี่ปีต่อมา
ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตอากาศยานแห่งแรกของประเทศ ด้วยเหตุนี้ Piaggio
ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตอากาศยานชั้นนำของอิตาลี
ภายหลังสงครามสิ้นสุด เอนริโก้ และ อาร์มานโด บุตรชายของ รินัลโด้ ปิอาจิโอ
ได้ช่วยกันพลิกฟื้นบริษัทขึ้นมาใหม่ คอร์ราดิโน ดัสคานิโอ นักออกแบบอากาศยาน
ออกแบบให้มันเป็นพาหนะที่ตัวถังแข็งแรง ทนทาน และใช้การประสานเฟืองแทนโซ่เหล็ก
ติดก้านเกียร์ไว้บนคันบังคับเพื่อให้ง่ายต่อการขับขี่ เปลี่ยนจากตะเกียบเป็นแขนยึดเหมือนเครื่องบิน
ตบท้ายด้วยการออกแบบตัวถังรถ เพื่อปกป้องคนขี่จากความสกปรกและน่ารำคาญ
รถ Vespa รุ่นแรก เครื่องยนต์ 98 ซีซี ส่งกำลัง 3.2 แรงม้า ที่รอบหมุน 4,500 รอบ/นาที
ทำความเร็วสูงสุด 60 กม./ ชม. ระยะการผลิตสองปี: ปี 1946 รุ่น 464
ตามด้วย 465 จนถึงรุ่น 18 (079) ในปี 1947
ปลายปี 1947 ผลิตภัณฑ์รถเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น กระทั่งในปีต่อมา Vespa 125
ก็ถูกปล่อยออกจำหน่ายเพื่อสานความสำเร็จต่อจาก Vespa 98 รุ่นแรก
ที่ Fiera Campionaria เมืองมิลาน ในปี 1948 ทาง Italian Vespa Clubs
ได้จัดให้มีการแข่งขันรายการ “Silver Swarm” ขึ้น ภายหลังการออกจำหน่ายรถรุ่นแรก
ตัวถังสีเงิน-เขียว อันเป็นเครื่องหมายการค้า Vespa
Vespa 125 ซีซี รุ่นแรก ต่างจากรุ่น 98 ตรงขนาดเครื่องยนต์และมีการใช้ระบบรองรับหลัง
เช่นเดียวกับการปรับปรุงระบบรองรับหน้า
เพียงสี่ปีหลังการออกจำหน่าย Vespa ได้รับการประกอบในประเทศเยอรมนีโดย
Hoffman-Werke of Lintorf
ตามด้วยในประเทศอังกฤษ (Douglas of Bristol) และฝรั่งเศส (ACMA of Paris)
การผลิตในสเปนเริ่มต้นในปี 1953
ที่ Moto Vespa of Madrid (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Piaggio Espana)
ตามด้วย Jette ในบรัสเซลส์, เบลเยี่ยม มีการสร้างโรงงานแห่งใหม่ใน บอมเบย์, บราซิล
ข้ามไปจนถึงในสหรัฐฯ ความโด่งดังของมันสามารถเรียกความสนใจจากนิตยสาร รีเดอร์ส์ ไดเจสต์
ซึ่งถึงขนาดลงตีพิมพ์เป็นบทความชิ้นยาว แต่นั่นก็เป็นเพียงบทเริ่มของความอัศจรรย์เท่านั้น
ในปี 1951 แฟนรถ Vespa กว่า 20,000 คน ได้เข้าไปมีส่วนร่วมที่งาน Italian Vespa Day
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1950 มีการจัดการแข่งขันขึ้นมากมายทั้งภายในอิตาลีเองและต่าง ประเทศ
การขับขี่รถเวสป้าเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและการเข้าสังคม
กล่าวโดยสั้นคือ รถเวสป้ากลายมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
ที่มีหลักฐานปรากฏยืนยันด้วยรูปถ่าย วรรณกรรม โฆษณา และภาพยนตร์อีกนับไม่ถ้วน
เรื่อยไปจนถึงพฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพสังคม
นับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
ปี 1952 จอร์จส์ โมแนเร่ต์ ชาวฝรั่งเศส ได้ประกอบรถ “เวสป้าสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก”
เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ปารีส-ลอนดอน และประสบความสำเร็จในการข้ามช่องแคบอังกฤษ
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น Piaggio ก็ได้ประกอบรถ Vespa 125 ซีซี รุ่นต้นแบบ
เพื่อใช้ในการแข่งขันทำความเร็ว กระทั่งสร้างสถิติโลกด้วยอัตราเร็วเฉลี่ย 171.102 กม./ชม.
Vespa ผ่านหลักชัยที่ 17 ล้านคัน Vespa: over 17 million units produced
ในวันที่ Lambretta เพิ่งจะเริ่มลิ้มรสความสำเร็จ Vespa
ได้ถูกนำไปสำเนาและเลียนแบบเป็นพันๆ ครั้ง
ทว่าคือความเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งให้พาหนะของ Piaggio คงความสำเร็จมาได้อย่างยาวนาน
นานจนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายน 1953 รถคันที่ 500,000
ได้ถูกปล่อยออกจากสายการผลิต ตามด้วยคันที่หนึ่งล้านในเดือนมิถุนายนปี 1956
หลายคนบอกว่ามันคือ “โมเดลรุ่นที่ดัง ถูกเลียนแบบ และเป็นที่จดจำได้มากที่สุด”
พัฒนาขึ้นหลายจุด เครื่องยนต์ 150 ซีซี, เกียร์ 4 จังหวะ, อานเบาะยาวมาตรฐาน,
ปรับทรงไฟหน้า, ล้อขนาด 10 นิ้ว ทำความเร็วสูงสุดได้ 100 กม./ ชม.
ปรับดีไซน์ตัวถังให้ลู่ลมดีขึ้น
ในวันที่ 9 มิถุนายน 1957 Izvestiรายงานข่าวการเริ่มต้นผลิตรถ Viatka 150 ซีซี
ที่เมืองคีรอฟ, สหภาพโซเวียต ที่ลอกแบบรถเวสป้าแทบทุกรายละเอียด
ก่อนที่ทาง Piaggio จะหันมาขยายสายรุ่นลงสู่พาหนะขนาดเล็ก ในปี 1948
หลังการเปิดตัวของ Vespa ได้มีการประกอบรถแวนสามล้อ Ape
(ภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ผึ้ง”) วางทรงมาจากรถสกู๊ตเตอร์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
สานต่อความสำเร็จจาก GS รุ่นแรก พร้อมดีไซน์ใหม่
หม้อลดเสียงไอเสีย, คาร์บูเรเตอร์ และระบบรองรับ
กำลังส่งสูงสุด 8.2 แรงม้า ที่รอบหมุน 6,500
ดีไซน์ใหม่ที่เรียกกันว่า “หนึ่งในรถเวสป้าที่สวยที่สุดที่ผลิตโดยนัก ออกแบบของ Piaggio”
คันบังคับเลี้ยว, ไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู, บังโคลนหน้าและฝาครอบท้ายล้วนเป็นของใหม่
Vespa 50 เปิดตัวในปีถัดมา (1963) พร้อมๆ กับกฎหมายบังคับให้รถจักรยานยนต์ขนาดเกิน 50 ซีซี
ต้องติดป้ายทะเบียน รถสกู๊ตเตอร์คันใหม่ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายดังกล่าว
และประสบความสำเร็จในทันที ในปี 1965 ยอดขายรถพร้อมป้ายทะเบียนในอิตาลีตกลง 28%
เมื่อเทียบกับปี 1964 ทว่า Vespa พร้อมกับรถซีรี่ส์ 50 รุ่นใหม่ กลับประสบความสำเร็จอย่างสูง
นับจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นรถเวสป้าขนาด 50 ซีซี
รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 500 กม. จากการเติมน้ำมันเต็มถัง
ขยายขนาดความจุเครื่องยนต์ (181.14 ซีซี) 10 แรงม้า สำหรับทำความเร็วสูงสุด 105 กม./ชม.
180 SS (Super Sport) เข้ามาทดแทนรุ่น GS 150/ 160 ซีซี
ทาง Piaggio ได้ทำการปรับปรุงในส่วนของโครงกระจังหน้าใหม่
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์
และความสะดวกสบาย ตลอดจนสมรรถนะการควบคุมและการเกาะถนน
Vespa 125, 1966 - หรือ “125 รุ่นใหม่” รื้อแนวทางการออกแบบใหม่ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นโครงรถ, เครื่องยนต์ (เอียง 45° องศา) และระบบรองรับ
ซีรี่ส์พิเศษที่พัฒนามาจากรถ Vespa รุ่น 50/90 ซีซี และ 125 “รุ่นใหม่”
ปรับตำแหน่งอานเบาะและคันบังคับเลี้ยว เพื่อให้ขับขี่ได้สะดวกขึ้น คันบังคับเลี้ยวคอดต่ำ
บังโคลนและกระบังหน้าเพรียวลม ด้วยความจุเครื่องยนต์เพียง 90 ซีซี ทำความเร็วได้ 93 กม/ชม.
พร้อมด้วยรุ่น PX ที่ออกตามหลัง ถือเป็นรถรุ่นที่ใช้งานได้ทนทานที่สุดของ Vespa
พัฒนามาจาก 125 “รุ่นใหม่” แต่สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ต่างกัน
ทำความเร็วได้สูงกว่ากัน 10 กม./ชม. ลงลึกทุกรายละเอียด
ไม่เว้นแม้แต่ตัวขอเกี่ยวกระเป๋าสุดคลาสสิค
ทาง Piaggio ได้นำเอาระบบปรับจังหวะการสูบเชื้อเพลิงแบบโรตารี่มาใช้
เครื่องยนตเป็นรุ่นใหม่ให้กำลังสูงขึ้น เช่นเดียวกับโคมไฟหน้า
โครงรถต่อยอดมาจาก Vespa 150 Sprint ทรงคอดเพรียวและลู่ลมกว่ารุ่น
ใช้ระบบจุดระเบิดอัตโนมัติ รูปทรงดูทันสมัยและสวยขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น 50
รถ Vespa ที่ใช้เครื่องยนต์ใหญ่สุด ให้กำลังส่ง 12.35 แรงม้า ที่รอบหมุน 5,700
ทำความเร็วได้ถึง 116 กม./ชม.
ET3 นั้นย่อมาจาก “Electronic 3 intake ports” พร้อมการเปลี่ยนแปลงสำคัญภายในเครื่องยนต์
ซึ่งให้พลกำลังสูงและมีชีวิตชีวาขึ้น รูปทรงดูทันสมัยกว่า Primavera รุ่นปกติ
เรียกย่อๆ ว่า “PX” โดดเด่นในเรื่องการวางรูปทรง (ปรับดีไซน์งานตัวถังใหม่หมด)
และสมรรถนะ ตามด้วย P 200 E ที่ออกมาในปีเดียวกัน
พร้อมระบบหล่อลื่นและอุปกรณ์ตรวจจับทิศทางติดตั้งมากับตัวรถ
สามปีถัดมา PX 150 E ก็ได้รับการเปิดตัว ด้วยสมรรถนะที่ก้ำกึ่งระหว่างสองโมเดลแรก
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในปี 1980 รถ Vespa PX 200 สองคันที่ขี่โดย เอ็ม. ซิโมโน่ต์ และบี. เชอร์เนียวสกี
วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับสองในรายการ ปารีส-ดาการ์
ด้วยความช่วยเหลือจากแชมป์ Le Mans 24 Hours เฮนรี่ เปสคาโรโล่
เข้ามาแทนที่ Vespa Primavera (รุ่นมาตรฐานและ ET3) ซึ่งยังคงอยู่ในสายการผลิต
บวกงานตัวถังแบบ “คลาสสิค” สำหรับตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่
บวกตัวถังที่แตกต่างจากรถสกู๊ตเตอร์ที่แล้วๆ มา
โดยเฉพาะในส่วนของรอยเชื่อมต่อที่ประสานกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว
เปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1946 เป็นต้นมา
เช่นเดียวกับก้านเบรกที่ด้านซ้ายของแฮนด์บังคับเลี้ยว
ตามมาด้วย Vespa PK 50 Automatic ที่เปิดตัวในปีถัดมา
T 5 ถือเป็นเวอร์ชั่น “สปอร์ต- พิเศษ” ของซีรี่ส์ PX เครื่องยนต์ใหม่
กระบอกสูบอลูมิเนียม และมีช่องไอดีถึง 5 ช่อง ปรับทรงท้ายและโคมไฟหน้าใหม่
พร้อมกระจกบังลม Plexiglas ขนาดเล็ก เสริมสปอยเลอร์ตรงกระจังหน้า
Vespa 50 N, 1989 - การเปลี่ยนตามกฎหมาย Italian Highway Code หมายถึงรถจักรยานยนต์ 50 ซีซี
ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดกำลังอยู่ที่ 1.5 แรงม้า อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ Piaggio
จึงได้เปิดตัวรถ Vespa ขนาดเล็กรุ่นใหม่ พร้อมสมรรถนะที่ดีขึ้น (เกิน 2 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที)
และปรับทรงให้ดูลื่นไหลยิ่งกว่าเก่า เช่นเดียวกับรุ่น “Speedmatic”
กรกฎาคม 1992 จิออร์จิโอ เบตติเนลลี่ นักเขียนและสื่อมวลชน ขี่รถเวสป้าจากกรุงโรม
เดินทางถึงไซง่อนในเดือนมีนาคม 1993 ในปี 1994-95 เขาได้ขี่รถเวสป้าเป็นระยะทาง 36,000 กม.
จากอลาสก้าไปยังเกาะเทียร์ร่า เดล ฟูเอโก ในปี 1995-96 เดินทางจากเมลเบิร์นไปยังเคปทาวน์
รวมระยะทางกว่า 52,000 กม. ในเวลา 12 เดือน ในปี 1997 เริ่มขี่จากชิลีมุ่งหน้าสู่ทัสมาเนีย
รวมเวลาสามปีแปดเดือน เดินทางกว่า 144,000 กม. บนรถเวสป้า ผ่าน 90 ประเทศ
ไล่จากทวีปอเมริกา, ไซบีเรีย, ยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และโอเชียเนีย
รวมแล้ว เบตติเนลลี่ เดินทางเป็นระยะทางกว่า 250,000 กม.
1996 คือปีที่รถสกู๊ตเตอร์ที่โด่งดังที่สุดในโลกมีอายุครบ 50 ปี
นับแต่การเปิดตัวของ Vespa ET4 และ ET2 โดย ET4 ถือเป็นรถเวสป้าคันแรกที่ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ
จากโมเดล 98 ซีซี รุ่นแรกในปี 1946 จนถึง Granturismo ปี 2003
และ Vespa GTS 125 Super ปี 2009, Piaggio ได้ผลิตโมเดลรถ Vespa มาแล้วกว่า 100
ถูกเปิดตัวในปี 1996 กว่า 20,000 งานปรับปรุงได้เกิดขึ้นนับย้อนจนถึงงานต้นฉบับรุ่นแรกในปี 1946
ไม่นับส่วนประกอบกว่า 1,500 ชิ้นที่ได้รับการเปลี่ยน
ตอกย้ำความรุดหน้าของรถสกู๊ตเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก วัดตัวอย่างได้จาก ในปี 1997
ซึ่ง Piaggio ได้เปิดตัวเครื่องยนต์สองจังหวะที่ใช้ระบบหัวฉีดตรง (direct injection)
ก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ด้วยการเปิดตัวเครื่องยนต์สี่จังหวะ European 50 ซีซี
รุ่นแรก ที่ใช้กับรถ Vespa ET4 50 Vespa ET2 Injection
รถสกู๊ตเตอร์ Piaggioรุ่นแรก ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Leader
สี่จังหวะรุ่นใหม่ แบบเดียวกับโมเดลรุ่น 125 ซีซี
Vespa การหวนคืนสู่ตลาดอเมริกาในปี 2000 หลังจากห่างหายไปตั้งแต่ปี 1985
ด้วยเหตุผลเรื่องกฎหมายควบคุมมลพิษที่พุ่งเป้าไปที่เครื่องยนต์สองจังหวะ
ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว Piaggio U.S.A. เข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดรถสกู๊ตเตอร์
คิดเป็นร้อยละ 18 ตลอดช่วงห้าปีหลังจากนั้น
แต่ยังหมายรวมถึงประวัติศาสตร์ทางสังคม ในช่วงเวลานั้น Vespa
ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของรถสกู๊ตเตอร์
สื่อต่างชาติถึงกับให้คำจำกัดความอิตาลีว่าเป็นเหมือน "นครแห่งเวสป้า"
ดีไซน์คลาสสิคบวกคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ เกียร์สี่จังหวะ ที่ส่งให้ Vespa PX
กลายเป็นรถสกู๊ตเตอร์ที่มีผู้หลงใหลมากมาย แบบฉบับของงานดีไซน์สไตล์อิตาเลียน
รถ 125 เครื่องยนต์สองจังหวะทั้งรุ่น 125, 150 และ 200 ซีซี
พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยแรงดันอากาศ ระบบจุดระเบิด CDI (Capacitor-Discharge Ignition)
และปุ่มสตาร์ทมือและคันสตาร์ท PX รุ่นใหม่ เน้นความเป็นสปอร์ต ใช้ดิสก์เบรกหน้าสเตนเลสสตีล
เส้นผ่านศูนย์กลาง 200 มิลลิเมตร ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ดรัมเบรกหลังขนาด 150 มม.
ย่างเข้าสู่ปี 2003 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งกับ Vespa
จากการเปิดตัวรถ Granturismo 200L และ 125L ซึ่งขยายทั้งขนาดและกำลังเครื่องยนต์
2003 คือปีที่รถ Granturismo ได้รับการเผยโฉมในฐานะรถ Vespa ที่ทรงพลังที่สุด
ทั้งในรุ่น 200L และ 125L ล้วนอัดแน่นไปด้วยวิทยาการล้ำหน้า: รับเป็นครั้งแรกที่
เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ, สี่วาล์ว, ระบายความร้อนด้วยของเหลว
เช่นเดียวกับล้อขนาด 12 นิ้ว ในรุ่น 200L และระบบดิสก์เบรกคู่ ตัวถังผลิตจากเหล็กกล้า
ในปี 2005 กับ Vespa GTS รถสกู๊ตเตอร์คันแรกของโลกที่ใช้เครื่องยนต์ 250 ซีซี
สอดรับเกณฑ์ควบคุมมลพิษ Euro 3 พร้อมระบบหัวฉีดอิเล็คทรอนิค นอกจากนั้น Vespa
ยังแสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถจักรยานยนต์ในอนาคต (ไม่ก่อมลพิษ)
ด้วยการเปิดตัวรถ Vespa LX 50 HyS (Hybrid Scooter)
ห้าสิบหลังจาก Vespa GS (Gran Sport) นี่คือรถสกู๊ตเตอร์สปอร์ตคันแรกในประวัติศาสตร์
ยังคงเป็นที่ตามหาของบรรดานักสะสมและแฟนๆ Vespa GTS 250 i.e.
เปิดตัวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2005 ในปอร์โตฟิโน่ หลอมรวมเอาสปีดและรูปทรงเป็นหนึ่งเดียว
กระทั่งกลายเป็นรถ Vespa ที่เร็ว ทรงพลัง และล้ำยุคที่สุดในประวัติศาสตร์
ด้วยการใช้เครื่องยนต์ 250 ซีซี สี่จังหวะ สี่วาล์ว หัวฉีดอิเล็คทรอนิก
และดิสก์เบรกคู่ บวกอ็อพชั่น ABS และเบรกเซอร์โว Vespa GTS 250 i.e.
คือหนึ่งในพาหนะสองล้อ และมอเตอร์ไซค์ขนาด 250 ซีซี รุ่นแรก
ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการควบคุมมลพิษ Euro 3
14 มีนาคม 2006, Vespa World Club ได้รับการจัดตั้งขึ้น
เพื่อประสานความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการของ สโมสรเวสป้า คลับส์ ทั่วโลก ทาง Piaggio
ได้ให้การสนับสนุนสมาคมใหม่นี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ และความคิดริเริ่มต่างๆ
ที่เกิดจากแฟนรถเวสป้าในประเทศต่างๆ ปัจจุบัน Vespa World Club
มีสโมสร Vespa Clubs ระดับชาติ 35 แห่ง,
Vespa Clubs ระดับท้องถิ่นอีก 685 แห่ง อยู่ในความดูแล
รวมทั้งสมาชิกจากทั่วโลกอีกกว่า 31,000 คนทั่วโลก
ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองตำนานแห่งโลกยนตกรรมสองล้อ Vespa LXV และ Vespa GTV
ด้วยดีไซน์และฟังก์ชั่นการทำงานที่ย้อนสัมผัสแบบในยุค
ทศวรรษที่ 50 และ 60 Vespa GTV ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่น 125 และ 250 ซีซี
จะมีจุดเด่นตรงไฟหน้าที่ติดตั้งบนบังโคลนเหมือนตัวต้นแบบปี 1946
ทุกคุณลักษณะของ “Vespino” ถูกเรียกคืนกลับมาอีกครั้งโดยรถ Vespa S รุ่นใหม่
จากการผสมผสานรูปแบบและกลิ่นอายต่างๆ เพื่อเก็บรักษาจิตวิญญาณของความเป็นหนุ่มสาวไว้
ส่งให้มันกลายเป็นรถ Vespa ที่เปี่ยมสีสันและชีวิตชีวามากที่สุดในยุคปัจจุบัน Vespa S
สืบทอดแนวทางลดทอนจากงานในตำนานยุค 1970 อย่าง 50 Special และ Vespa Primavera
GTS 300 Super นำเอาความเลิศหรูก้าวพ้นงานในคลาส 250
ด้วยการนำเอกลักษณ์สไตล์คลาสสิคในแบบ Vespa มาผสานเข้ากับความทันสมัยและเป็นสปอร์ต
ลายเส้นสายที่สะอาดตา Vespa GTS 300 Super คือการหลอมรวมของรูปแบบ
ความสะดวกสบาย ปลอดภัย และแข็งแกร่งทนทาน ด้วยการใช้เครื่องยนต์สี่วาล์ว
ระบายความร้อนด้วยน้ำ รุ่นใหม่อันทรงพลัง, ระบบหัวฉีดอิเล็คทรอนิก และมาตรฐาน Euro3
สิ่งที่ส่งให้ Vespa GTS 300 Super มีความแตกต่างจากรถจักรยานยนต์คันอื่น
ก็คือ เครื่องยนต์ที่มีความยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยพลกำลัง
ซึ่งหมายถึงมันสามารถออกตัวได้อย่างรวดเร็ว
Vespa LX 50 4Valve, 2009 – เครื่องยนต์ 50 ซีซี สี่วาล์ว สี่จังหวะ รุ่นใหม่
ได้เรียกคืนเอาความอัศจรรย์ของเครื่องยนต์ในตำนาน Vespa กลับมาอีกครั้ง
ด้วยการตั้งจังหวะการปิด-เปิดของลิ้นสี่ระดับ ที่ส่งให้มันเป็นต้นกำลังขนาดเล็กที่โดดเด่น
(ที่ 4.35 แรงม้า นี่คือเครื่องยนต์สี่จังหวะ 50 ซีซี ที่ทรงพลังที่สุดในตลาด)
ด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองและมลพิษที่น่าชื่นชม
ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในด้านนวัตกรรมด้านเครื่องยนต์ของ Vespa ตลอดระยะเวลาหกทศวรรษ
Vespa Limited Edition LX150 2 Tone ถูกดีไซน์ออกมาใหม่ด้วยสีพิเศษ
สีสันสไตล์อิตาเลียน สะดุดตาและโดดเด่นด้วยเบาะนั่งที่ตัดเย็บด้วยสีพิเศษเช่นเดียวกัน
เป็นการดีไซน์ได้อย่างสวยงามและลงตัวที่สุดสำหรับเวสป้าในรุ่น
Vespa LX150 Alloro (สีเขียว) และ Vespa LX150 Bluette (สีฟ้า)
สำหรับการดีไซน์ในรุ่นนี้ มีการผลิตออกมาแค่สีละ 45 คันเท่านั้น
ออกแบบโดยหนุ่มกราฟฟิกดีไซเนอร์สตรีทอาร์ต ตั้ม-พฤษ์พล มุกดาสนิท
จากแบรนด์ MAMAFAKA: MMFK เป็นสีดำด้าน ออกแนวสตรีท แมน เท่ ดิบ
และมาพร้อมไอเด็นติตี้สำคัญของ ‘คุณตั้ม’ คือ Mr.HellYeah! กระจายลงสู่ชิ้นส่วนต่างๆ
บนรถ พร้อมของพรีเมี่ยมเฉพาะรุ่นครบเซ็ทเอาใจสาวกเวสป้า
ได้แก่ ถุงมือ, ผ้าพันคอ, หมวกนิรภัย และพวงกุญแจ