ข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้คุณได้พิจารณาก่อนตัดสินใจที่จะเลือกซื้อ “Sportster” มือสองงามๆ สักคัน!

Technique || Buying Guide - Harley-Davidson Sportster
INTRODUCTION
รถมอเตอร์ไซค์เชื้อสายอเมริกัน “Harley-Davidson Sportster” ถูกผลิตครั้งแรกในปี 1957
 เป็นคู่แข่งสำคัญของรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษที่กำลังทำตลาดรถสองล้ออย่างดุเดือด
ในยุคนั้น "Sportster" เป็นรถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson ตระกูลแรกที่มาพร้อมกับ
โช้คหลังและเครื่องยนต์สมรรถนะสูง "Overhead-Valve Engine"

รูปลักษณ์ของ "Sportster" ทำให้เรานึกถึงรถมอเตอร์ไซค์อังกฤษรุ่นหนึ่งที่ครองใจไบค์เกอร์
และได้รับความนิยมอย่างมากในปลายยุค 1950 นั่นก็คือ "Triumph Thunderbird"
ด้วยรูปทรงองค์ประกอบที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน ทำให้ "Sportster" ได้กระแสการตอบรับ
เป็นอย่างดีจากตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศสหรัฐอเมริกา

ในยุคแรก "Sportster" ใช้เครื่องยนต์ Ironhead V-twin ขนาด 900 ซีซี ทำมุม 45 องศา
เค้นแรงม้าได้ 40 ตัว ที่ 5,500 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุดทำได้ประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
น้ำหนักโดยรวมอยู่ที่ 495 ปอนด์ (ประมาณ 225 กิโลกรัม) โดยเครื่องยนต์ Ironhead
ชุดเดิมถูกใช้มากว่า 28 ปีแล้ว ล่าสุดในปี 1986 Harley-Davidson จึงตัดสินใจยกเครื่อง
"Sportster" ใหม่เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ "Evolution" แทน

ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของ "Sportster" เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างทัศนคติที่ดี
ให้กับเจ้าของรถ เนื่องจากพวกเขามั่นใจได้ในบริการหลังการขายที่มีความน่าเชื่อถือ
เมื่อรถเกิดปัญหาจะมีช่างที่มากไปด้วยฝีมือและประสบการณ์คอยดูแล รวมทั้งอะไหล่ชิ้นส่วน
อุปกรณ์ต่างๆ ของตัวรถ ก็สามารถหาได้ง่ายตามตลาดทั่วไป มากกว่านั้นคือ
'สังคม Sportster' ที่จะคอยช่วยให้คำแนะนำ แบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้
สร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดขึ้นในวงการสองล้ออีกด้วย

ในแวดวงของสาวก Harley-Davidson จะพูดอยู่เสมอว่า "Sportster" เป็นรถที่เหมาะกับ
ไบค์เกอร์หน้าใหม่ แต่จริงๆ แล้วรถ Harley ในยุคแรก มักออกแบบให้ตัวรถมีน้ำหนักเบา
เพื่อแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ อาทิ Indians, Cyclones, Hendersons, Excelsiors,
Popes เป็นต้น แต่กับรถครุยเซอร์โครเมียมแล้ว เราจะคุ้นหูกับแบรนด์ Harley-Davidson
มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงเรียกได้ว่า "Sportster" เป็น 'DNA' หรือเลือดเนื้อเชื้อไขตัวจริง
ของ Harley-Davidson มาตั้งแต่ในอดีต

INTERESTING SPORTSTER SUB-MODELS
NIGHTSTER
ผลิตครั้งแรกในปี 2007 เป็นรถสไตล์เรโทร เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี เป็น “Sportster”
ที่มีรูปลักษณ์ทันสมัยที่สุดจากบรรดา“Sportster” ทั้งหมด นอกจากนี้
ยังมีรุ่นพิเศษอีก 2 รุ่น ได้แก่ "Iron" และ "Forty-Eight" อีกด้วย

IRON
เครื่อง 883 ซีซี V-twin เซตเดียวกับ 1200 Nightster… "Iron" เป็นรุ่นที่ราคาเบาที่สุด
เป็นสิ่งล้ำค่าที่ไบค์เกอร์หน้าใหม่ควรจะมีไว้ในครอบครอง

FORTY-EIGHT
รถรุ่นนี้ เริ่มผลิตครั้งแรกในปี 2010 ออกแบบในลักษณะ "Nightster Style"
ถังน้ำมันรูปทรงคล้ายถั่ว ล้อหน้าแบบซี่ลวด ล้อหลังเพิ่มขนาดยางใหญ่ขึ้น
ทำให้ '48' เป็น “Sportster” อีกรุ่นที่ขายดีอย่างเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะในประเทศไทย

SEVENTY-TWO
ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถสไตล์ชอปเปอร์ปี 1970 ที่เพิ่งผลิตขึ้นในปี 2012
จะไปโผล่ในตลาดรถมือสองอยู่บ่อยครั้ง ต่างความคิดหลากหลายความเห็น
บ้างก็ชอบ บ้างก็ไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม แฟนชอปเปอร์ตัวจริงไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
สำหรับ เจ้า '72' คันนี้

XR-750
รถระดับตำนานที่หลายๆ คนชื่นชอบ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง ผู้ที่สนใจจึงจำเป็นต้องศึกษา
ข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจที่จะซื้อมัน

XR1000
รถที่ค่อนข้างหายากในปัจจุบัน ถ้าบังเอิญไปเจอมันเข้า ก็อย่าลืมที่จะช่วงชิง
เอามาไว้ในโรงรถของคุณเสีย! 'XR1000' มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ปี1980
ซึ่งเป็นปีที่รถถูกผลิตขึ้นครั้งแรก 'XR1000' เคยใช้เข้าร่วมรายการแข่งขันและ
ยังได้รับชัยชนะอีกด้วย

XR1200
ตัวรถมีลักษณะคล้าย 'XR-750' แต่มีความทันสมัยมากกว่า ด้วยน้ำหนักตัวรถที่มาก
และเครื่องยนต์สุดแสนจะธรรมดายังไม่เป็นที่น่าพอใจต่อสิงห์นักบิดเท่าใดนัก
แต่หากว่าคุณมีโอกาสได้อัพเกรดเครื่องยนต์ใหม่ รับรองว่า 'XR1200' จะเป็น
“Sportster” อีกคันที่สนุกเร้าใจไม่แพ้ใครเลยทีเดียว

WHAT’S THE DEAL WITH ALL THE X’S?
รหัส 'X' ใช้เรียกรถมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson ในสายการผลิตรุ่น “Sportster”
ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย 'XL' ยกเว้นรุ่นพิเศษที่ใช้ในการแข่งขัน
ซึ่งรหัสรถจะขึ้นต้นด้วย 'XR' ยกตัวอย่างเช่น 'XR-750', 'XR1000', 'XR1200' เป็นต้น

จากข้างต้น ก็พอทราบบ้างแล้วว่า 'XL' ใช้สำหรับเรียกรถในสายการผลิตทั่วไปของรุ่น
“Sportster” และ 'XR' ใช้เรียกรถ “Sportster” ที่ใช้ในการแข่งขัน นอกเหนือจากนั้น
รหัส 'XL' ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวรถอื่นๆ อีก ดังนี้

XL H – "H" หมายถึง รถที่มีการอัดของเครื่องยนต์สูง
XL C – "C" คือ รถ “Sportster” ในสไตล์ 'Off-Road'
XL CH – "CH" เป็นไปตามที่คุณกำลังคิด ในที่นี้ หมายถึงรถสไตล์ 'Off-Road'
ที่มีแรงอัดของลูกสูบสูง ทั้งถึกทั้งแรงกันเลยทีเดียว
XL X – "X" เดาได้เลยว่ารถคันนี้มีราคาถูก เนื่องจากรหัสดังกล่าวจะใช้กับ
“Sportster” เดิมๆ ที่ไม่มีการตกแต่งตัวรถแต่อย่างใด
XL T – "T" คือรหัสที่ใช้เรียก “Sportster” แนวทัวริ่ง
XL H – "Hugger" เป็นรหัสที่ใช้เรียก “Sportster” ที่มีเบาะทรงเตี้ย กระบอกโช้คสั้น
เหมาะสำหรับไบค์เกอร์รูปร่างเล็กเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากทราบรหัสตัวอักษรที่คอยบอกลักษณะของ “Sportster” แนวต่างๆ แล้ว คราวนี้
เรามาดูตัวเลขที่อยู่ด้านหลัง โดยปกติแล้วตัวเลขดังกล่าว คือขนาดความจุของเครื่องยนต์
ในรถคันนั้น ยกตัวอย่างในรถ 3 รุ่นนี้

XL900 – คือ “Sportster” ที่ใช้เครื่องยนต์พื้นฐานมีความจุขนาด 900 ซีซี
XR1200 – คือ “Sportster” ความจุเครื่องยนต์ขนาด 1200 ซีซี รถสไตล์ "Flat Tracker"
ที่ใช้ในรายการแข่งขันชิงแชมป์
XL883 – คือ “Sportster” ที่ใช้เครื่องยนต์พื้นฐานมีความจุขนาด 883 ซีซี

นอกจากตัวเลขแล้ว ด้านหลังตัวเลขยังมีตัวอักษรอังกฤษอีกหนึ่งตัว เรามาทำความเข้าใจ
กันว่าตัวอักษรเหล่านั้นหมายถึงอะไร

XL1200N – คือ "Nighster"
XL883L – คือ "SuperLow" Sportster
XL1200C – คือ "Custom" Sportster
XL883R – คือ "Roadster"

คราวนี้ก็ได้ทราบรายละเอียดรหัสรุ่นของ “Sportster” กันไปพอสมควรแล้ว จำไว้เสมอว่า
รถแต่ละรุ่นมีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบแตกต่างกันไป แต่ละรุ่นก็มีเอกลักษณ์ในตัวของมัน
ขึ้นอยู่กับว่า “Sportster” รุ่นไหนจะตอบโจทย์ความเป็นตัวคุณมากที่สุด
อย่าเสียโอกาสที่จะหามันมาไว้ครอบครองสักคัน
4 SPEED VS 5 SPEED
มีหลายข้อถกเถียงถึงการเปลี่ยนแปลงระบบเกียร์ที่เกิดขึ้นในปี 1991 จากเดิม 4-สปีด
เป็น 5-สปีด บางกลุ่มก็บอกว่า สำหรับเครื่อง V-twin ทอร์คจัดๆ ของรถ
Harley-Davidson เกียร์ 4-สปีด ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่บางกลุ่มก็เสนอว่า 5-สปีด
น่าจะเหมาะสำหรับขี่ในเมืองมากกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณชอบแบบไหน ก็มั่นใจ
ได้ว่าทุกช่วงเวลาที่คุณได้เข้าเกียร์ ได้บิดคันเร่ง ได้ฟังเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์
พนันได้เลยว่าคุณจะหลงรักใน Harley-Davidson อย่างถึงที่สุด

CHAIN VS BELT
การเปลี่ยนจากการใช้โซ่เป็นระบบสายพาน เริ่มต้นครั้งแรกในปี 1993 ด้วยเหตุผลที่ว่า
เพื่อเป็นการลดค่าบำรุงรักษา เนื่องจากสายพานมีระยะการใช้งานสูงกว่าการใช้โซ่
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองระบบก็มีข้อได้เปรียบและเสียบเปรียบแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าต้องการใช้รูปแบบใด

EVOLUTION VS IRONHEAD
หลายๆ คนหลงรักเครื่องยนต์แบบ 'Ironhead' แต่ก็คงจะละเลยเครื่อง 'Evolution' ไม่ได้
เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่ม
ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดมาให้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม Harley-Davidson
ไม่ได้เกิดมาคู่กับนิยามของคำว่า 'ง่ายๆ' เพราะฉะนั้น ถ้ามองถึงต้นตำรับตามแบบฉบับของ
Harley แล้ว เครื่องคาบูเรเตอร์แบบ 'Ironhead' ดูจะตอบโจทย์สาวก Harley ตัวจริงมากกว่า

RUBBER MOUNTED ENGINE VS DIRECTLY MOUNTED ENGINE
ระบบกันสะเทือนและยางรองแท่นเครื่องที่เพิ่มเข้ามาในปี 2004 ถูกนำมาใช้กับ “Sportster”
ทุกรุ่น คุณสมบัติพิเศษของมันคือ เป็นตัวช่วยลดการสั่นของเครื่องยนต์ แต่บางรุ่น เช่น
"Ironhead" เมื่อทดลองขี่ไปในระยะทางไกลๆ ก็ไม่พบปัญหาการสั่นของตัวเครื่องเท่าใดนัก
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและความชอบส่วนบุคคลว่าต้องการรถสไตล์ไหน
แบบนุ่มนวลหรือแบบดุดัน

FRAME AND ENGINE NUMBER
ก่อนซื้อต้องตรวจสอบดูเลขเฟรมและเลขเครื่องก่อนทุกครั้ง ถ้าเลขดังกล่าวไม่ตรงกับตัวรถหรือ
ผิดแปลกไปจากเอกสารที่กำหนดไว้ อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้

883 VS 1200
เครื่องยนต์ความจุ 883 ซีซี มีขนาดเล็กและรีดพละกำลังได้น้อย
การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี หมายความว่าทั้งลูกสูบและกระบอกสูบ
ก็ต้องเปลี่ยนขนาดตามไปด้วย ทำให้รถมีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
หากเน้นประหยัดสบายกระเป๋า 883 ซีซี ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนประเภทบ้าพลัง จะถูกจะแพงขอแรงไว้ก่อน
เก็บเงินอีกนิดขยับไป 1200 ซีซี จะตอบโจทย์มากกว่า

CARBURETTOR VS FUEL INJECTION
ตั้งแต่ปี 2007 “Sportster” ทุกคันเปลี่ยนจากการใช้คาบูเรเตอร์เป็นการจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีด
เนื่องจากในหน้าหนาวเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดจะให้สมรรถนะที่ดีกว่า
เครื่องยนต์คาบูเรเตอร์ อย่างไรก็ตาม ทาง Harley ก็ยังคำนึงถึงเสียงเครื่องยนต์
ตามแบบฉบับเฉพาะของ Harley-Davidson ซึ่งดูจะขัดกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอยู่ไม่น้อย
เพราะถึงแม้ระบบดังกล่าวจะช่วยให้เครื่องมีความนุ่มนวล
แต่ก็ต้องแลกมากับเสียงเครื่องยนต์ที่เบาลงด้วย และสำหรับเครื่องที่ใช้คาบูเรเตอร์
หากหมั่นดูแลรักษาดีๆ แล้ว การซ่อมแซม การบำรุง หรืออะไหล่
ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้หนักกระเป๋าเจ้าของจนเกินไป

CUSTOM VS STOCK
“Sportster” ทุกๆ คัน จะมีความเป็นคัสตอมในสไตล์ของตัวเองอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับการออกแบบดีไซน์ของเจ้าของเดิมว่าจะเติมแต่ง
สร้างสรรค์ผลงานสองล้อของตนอย่างไร ทั้งนี้ ผู้ซื้อควรสอบถามให้แน่ชัด
หากมีบางชิ้นส่วนที่ตกหล่นหรือขาดหายไป

ELECTRICAL SYSTEMS
ไม่มีใครที่อยากให้ “Sportster” คู่ใจมีอาการ “ดื้อ” ไฟดับ สตาร์ทไม่ติด ฯลฯ
ดังนั้นควรตรวจสอบให้มั่นใจก่อนการซื้อ

ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูล: hd-playground.com
Share on Google Plus