BMW ทำไมถึงไม่ได้ผลิตแค่รถยนต์เท่านั้น!!

เมื่อพูดถึง BMW ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า BMW นั้นมีชื่อเสียงมาจากการผลิตรถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริง BMW ได้ผลิตรถจักรยานยนต์ และได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน สืบเนื่องมาจากในอดีต BMW ได้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน โดยใช้ชื่อบริษัทว่า Bayerische Flugzeugwerke (Bavarian Aircraft Works) แต่การผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานก็เป็นอันต้องสะดุดลง เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่1 หลังจากนั้นมารถจักรยานยนต์ก็กลายเป็นที่นิยม เนื่องจากมีราคาและต้นทุนที่ต่ำกว่ารถยนต์ค่อนข้างมาก รวมทั้งผลกระทบจากสงคราม BMW จึงเลิกสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินและหันมาสร้างรถจักรยานยนต์แทน

รถจักรยานยนต์คันแรกของ BMW มีชื่อว่า R32 ที่ใช้เครื่องยนต์ M2B33 มาพร้อมระบบเกียร์ 3 สปีด อาศัยหลักการนำอากาศมาช่วยระบายความร้อน รวมถึงการติดตั้งเกียร์เข้ากับเพลาขับ โดยอาศัยคลัตช์เป็นตัวเชื่อมเพลาเพื่อต่อไปยังล้อหลังโดยตรง ทำให้รถคันนี้มีระบบการขับเคลื่อนที่ดีกว่าแบบกำลังโซ่ทั่วไป เมื่อประสิทธิภาพของรถเพิ่มสูงขึ้น ราคาก็เพิ่มขึ้นตามเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือรถจักรยานยนต์รุ่นนี้กลับมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แซงหน้ารถจักรยานยนต์ยี่ห้ออื่นๆอย่างเทียบไม่ติด BMW จึงได้ทำการพัฒนารถจักรยานยนต์รุ่นต่อๆไปให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้รถจักรยานยนต์ของ BMW ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในที่สุด

ส่งผลไปถึงความนิยมของรถจักรยานยนต์ BMW มือสองที่เป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นคลาสสิก หรือบางรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว กลายเป็นที่ต้องการในตลาดรถ BMW มือสองสำหรับนักสะสมและสาวกรถจักรยานยนต์ และในบทความนี้เว็บไซต์ขายรถมือสองทรัสตี้คาร์ดอทคอม ได้ทำการรวบรวมรถจักรยานยนต์ BMW มือสอง มาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ชมกันว่ามีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ

ในปี 1950 ผู้บริหารของ BMW ได้ทำการแต่งตั้งให้ Hans Gunther Von Der Marwitz เป็นผู้ดูแลและควบคุมการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ และได้ย้ายฐานการผลิตไปที่โรงงานแห่งใหม่ในเมือง Berlin Spandau ที่นี่เองที่เครื่องยนต์สูบนอนรุ่นใหม่ล่าสุดของ BMW ขนาด 500-600 และ 750 cc.ได้ถือกำเนิดขึ้น มีการพัฒนาสมรรถนะตัวเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น โดยตัวบล็อกเครื่องผลิตจากอะลูมินัมอัลลอยผสมพิเศษ ลูกสูบทำจากอัลลอย เพลาข้อเหวี่ยงติดตั้งลูกปืนบอลแบริ่งเพื่อลดแรงเสียดทานในระหว่างการหมุน มีระบบสตาร์ต

เครื่องยนต์ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ระบบส่งกำลังหรือเกียร์แบบสปอร์ต แต่ยังคงใช้ตะเกียบคู่หน้าแบบเดิมอยู่ หลังจากนั้นในปี 1956 BMW ได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่น R50 S ซึ่งเป็นรุ่นลิมิเตดอิดิชั่น ที่ผลิตมาเพียง 1,634 คันเท่านั้น โดยรถ R50 S ใช้เครื่องยนต์สูบนอนปริมาตรความจุ 494 cc. สี่จังหวะ สองกระบอกสูบแบบแฟลตทวิน-โอเวอร์เฮตวาล์ว (Four-stroke two cylinder flat twin OHV) จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์คู่ให้กำลัง 35 แรงม้าที่ย่าน 7,560 รอบต่อนาที โดยในปัจจุบัน R50 S หาได้ยากมากและมีราคาประมาณเกือบ 6 แสนบาท
ปี 1973 นับเป็นครั้งแรกที่ BMW นำรูปทรงของตัวรถที่ใช้ในการแข่งขันมาใช้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ออกจำหน่าย เนื่องจากในตอนนั้นมีกระแสความนิยมในมอเตอร์ไซค์แบบแข่งขันกระจายไปทั่วจากเหล่าผู้ชาย และนักซิ่งทั้งมือเก่าและมือใหม่ BMW จึงผลิตรถมอเตอร์ไซค์รุ่น R75/5 โดยใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ปริมาตรความจุ 750 cc. 50 แรงม้า ติดตั้งระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยสวิตช์ไฟฟ้าที่ต่อมา กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ สามปีถัดมาในปี 1976 BMW ได้เผยโฉมหน้าของรถรุ่นใหม่ที่ออกแบบโดยนักแข่งชื่อ ดัง Hans A Muth โดยการจำลองแบบเหมือนจริงแล้วนำไปทดสอบในอุโมงค์ลมเพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศที่ต่ำที่สุดก่อนจะลงมือผลิต ตัวเครื่องยนต์จึงถูกพัฒนาและเริ่มเปลี่ยนขนาดปริมาตรความจุจาก 750 cc. ไปเป็น 1,000 cc. ในยุคถัดไป
F 800R ถูกพัฒนามากจากรุ่น F800 Roadster โดยการออกแบบรูปทรงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบอากาศพลศาสตร์ ที่ผสมผสานรูปลักษณ์ของรถจักรยานยนต์สปอร์ตกับทัวร์ริ่งเข้าด้วยกัน เครื่องยนต์ของ F800R เป็นเครื่องแถวเรียง 4 วาล์วความจุ 798 cc. สองกระบอกสูบ ถูกดีไซน์ให้มีสมรรถนะในการตอบสนองตามธรรมชาติของเครื่องยนต์และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์และการตอบสนองของคันเร่งที่วิศวกร BMW ทำการปรับปรุงแบบของลิ้นปีกผีเสื้อใหม่หมด วาล์วระบบ kinematic ให้กำลังสูงสุด 64 กิโลวัตต์ หรือ 87 แรงม้าที่ย่านรอบเครื่องยนต์ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 86 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที
Concept 6 มอเตอร์ไซค์แห่งอนาคตของ BMW เป็นบิ๊กไบค์ต้นแบบคันล่าสุดที่ถูกออกแบบตัวรถในลักษณะ Cafe Racer โดยสานต่อเจตนารมณ์มาจากรุ่น K Series ใช้เครื่องยนต์หกกระบอกสูบที่เล็กกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป 10 เซนติเมตร ขนาด เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่มีความใกล้เคียงกับเครื่องแถวเรียงสี่สูบของเดิมและอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมีค่าเท่ากัน แต่แรงบิดกลับเพิ่มขึ้นถึง 130 นิวตันเมตร ในรอบเครื่องยนต์เพียง 2,000 รอบต่อนาที โดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ อะลูมิเนียมและไทเทเนียมประกอบตัวรถทั้งคัน ออกแบบให้มีลักษณะจมูกด้านหน้ายาว แต่มีช่วงท้ายที่สั้นซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมของสไตล์ Cafe Racer พร้อมเทคโนโลยียุคใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้าไปให้ตัวรถ แสดงให้เห็นถึงทิศทางและรูปแบบจักรยานยนต์ในอนาคตของบริษัท BMW ในยุคต่อจากนี้

จะเห็นได้ว่า BMW ไม่ได้ผลิตรถยนต์คุณภาพเยี่ยมสุดหรูออกมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ผลิตรถจักรยานยนต์ที่สุดยอดออกมามากมายหลายรุ่น และมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตแรกเริ่มจนถึงปัจจุบันที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว นับเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งถึงรถจักรยานยนต์รุ่นต่อๆไปในอนาคตของ BMW

ที่มา: bangkokmotorbikefestival.com
Share on Google Plus